วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

เมย์ รัชนก

เมย์ รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันแชมป์โลก คนแรกของไทย





           นาทีนี้ วงการกีฬาไทยหลายคนคงจับตามอง "เมย์ รัชนก อินทนนท์" เจ้าของดีกรีแชมป์โลก 1 สมัย เป็นจุดเดียว หลังจากสร้างผลงานหักปากกาเซียนแบดมินตันทั่วโลกมาแล้วนับไม่ถ้วน ว่าแล้วเราไปทำความรู้จัก น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ กันแบบเต็ม ๆ เลย


           พี่เมย์ รัชนก อินทนนท์ เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 เป็นคนร้อยเอ็ดโดยกำเนิด โดย พี่เมย์ รัชนก อินทนนท์ เป็นลูกสาวของคุณพ่อวินัสชัย อินทนนท์ และคุณแม่คำผัน สุวรรณศาลา ปัจจุบัน น้องเมย์ รัชนก สังกัดโรงเรียนกีฬาแบดมินตันบ้านทองหยอด 



          เส้นทางสู้กีฬาแบดมินตันของพี่เมย์ รัชนก เริ่มต้นมาตั้งแต่วัยเพียง 5 ขวบ และเมื่ออายุ 7 ขวบ พี่เมย์ ก็ได้ลงแข่งขันแบดมินตันไปครั้งแรก แม้จะแพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่น้องเมย์ก็ฝึกฝนเรื่อยมา จนมาคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในการแข่งขัน "อุดรธานีโอเพ่น" และจากนั้นเธอก็ครองแชมป์ในการแข่งขันมาโดยตลอด 

           ต้องยอมรับว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่เมย์ ได้พัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งพัฒนาการเล่นให้เหนียวแน่นขึ้น ประกอบกับเป็นคนใจสู้ อยู่ในระเบียบวินัย ตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนัก จนทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พี่เมย์สร้างชื่อเสียงให้กับวงการลูกขนไก่ไทยอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นนักกีฬาสำคัญของทีมชาติไทยเคียงข้างนักแบดมินตันรุ่นพี่คนอื่น ๆ 



อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพี่เมย์จะอายุเพียง 17 ปีในขณะนั้น แต่ความสา
มารถของเธอไม่ได้น้อยตามอายุเลย เพราะสาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้ครองแชมเปี้ยนแบดมินตันเยาวชนโลกถึง 3 สมัยซ้อน ซึ่งถือเป็นคนแรกของโลกที่สร้างประวัติศาสตร์ครองแชมป์เยาวชนโลกได้ 3 สมัยซ้อน หลังจากนั้นมา ชื่อเสียงของเธอก็เป็นที่รู้จักในวงการแบดมินตันโลก จนในปี พ.ศ.2552 ทางสหพันธ์แบดมินตันโลกก็มอบรางวัลนักแบดมินตันดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีให้กับน้องเมย์ และทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เส้นทางบนถนนนักตบลูกขนไก่ของน้องเมย์ยังอีกยาวไกลแน่นอน

           ส่วนในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 26 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย น้องเมย์ก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง เมื่อรวมพลังกับทีมแบดมินตันหญิงไทยช่วยกันปราบคู่ต่อสู้จากอินโดนีเซีย คว้าเหรียญทองแบดมินตันประเภททีมหญิงมาครองได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นการคว้าเหรียญทองในประเภทนี้มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี สร้างความดีใจให้แฟน ๆ แบดมินตันชาวไทยเป็นอย่างมาก



          และนอกจากฝีมือที่ยอดเยี่ยมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่แฟน ๆ กีฬาชาวไทยชื่นชมน้องเมย์เป็นอย่างมากก็คือ การมีสัมมาคารวะ เพราะทุกครั้งที่น้องเมย์ลงทำการแข่งขัน เธอจะไหว้ทุกคนรอบสนาม ทั้งผู้ชม กรรมการ คู่ต่อสู้ แม้กระทั่งพนักงานที่คอยเช็ดพื้นสนามแบดมินตัน กลายเป็นภาพความประทับใจที่ตรึงเข้าไปในจิตใจของผู้ที่พบเห็น และทำให้ทุกคนหลงรัก และเอ็นดูเด็กสาวคนนี้ไปโดยทันที  



                                      ข้อมูลอ้างอิง http://hilight.kapook.com/view/64790

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

วิกรม กรมดิษฐ์


         วิกรม กรมดิษฐ์ มหาเศรษฐีเมืองไทย




 "วิกรม กรมดิษฐ์" ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เจ้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร พร้อมทั้งมีบริษัทในเครืออมตะอีกหลายแห่ง รวมถึงที่อยู่ในเวียดนามด้วย  เขาพลิกผันตัวเองจากครอบครัวที่ทำอาชีพค้าขายในจังหวัดกาญจนบุรี มาสู่เจ้าของอาณาจักรนิคมอุตสาหกรรม

วิกรม กรมดิษฐ์ เกิดเวลา 24.00 น. วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2496 ทวดของเขามาจากเมืองจีนมาทำการค้าขายในเมืองไทย จนได้แต่งงานกับย่าทวดที่ทำธุรกิจด้านยาสูบ ต่อมาในรุ่นของคุณปู่ก็มีใช้เรือในการขนส่งใบยาจากกาญจนบุรีมาที่กรุงเทพฯ และส่งไปขายต่อที่จีน ส่วนตัวเขาเองนั้นขณะที่เรียนชั้นประถม 1 ก็เริ่มทำการค้าขายแล้ว เป็นการขายถั่วคั่วที่เขาทำเรื่อยมาจนถึงประถม 3 ต่อมาก็ไปรับขนมปังและลูกอมมาขายควบคู่ไปด้วยเลย ซึ่งวิกรมนั้นมีความฝันที่อยากจะมีกิจการเป็นของตัวเองตั้งแต่เด็ก และด้วยความที่เขาต้องควบคุมคนงานมาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้รู้จักการวางตัวให้น่าเชื่อถือเพื่อจะได้สามารถควบคุมคนหมู่มากได้



         กระทั่งได้รับทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากรัฐบาลไต้หวัน เขาก็เริ่มทำธุรกิจแบบจริงจังมากขึ้นด้วยการนำเข้าอะไหล่วิทยุ, โทรทัศน์ และเครื่องสูบน้ำ จากประเทศไต้หวันเข้ามาขายในไทย และก็ได้นำสินค้าจำพวก เครื่องหนัง, ทองรูปพรรณ และเมล็ดพันธุ์ต่างๆ กลับไปขายในไต้หวัน จนสร้างรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำ  เหตุผลที่วิกรม ต้องดิ้นรนทำมาค้าขายแบบนี้ก็เพราะเขามีปัญหากับพ่อ ทำให้พ่อไม่ส่งเสียจึงต้องพยายามหาทางส่งเสียตัวเอง และในที่สุดเขาก็เรียนจบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ต่อมาเขาก็ได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขาวิชาการบริหารทั่วไป จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกด้วย 


         สิ่งที่วิกรมได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กนั้น ช่วยหล่อหลอมจนมาถึงวันที่เขาเปิดบริษัทของตัวเอง จากบริษัทส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ, ธุรกิจค้าส่งอาหารอย่างทูน่า, ผลิตอาหารกระป๋องส่งขายต่างประเทศ จนมาถึงโรงงานผลิตอาหารที่เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จนมาเป็น บริษัทอมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาและจัดการด้านนิคมอุตสาหกรรม หรือเรียกง่ายๆ ก็คือเป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่สนใจเช่าทำเป็นโรงงานอุตสาหกรรม โดยในนิคมอุสาหกรรมจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ อาทิ บ้านพัก หรือ อพาร์ทเมนต์ และสิ่งอุปโภคบริโภคต่างๆ ซึ่งบริษัทอมตะมีนิคมอุตสาหกรรมหลักๆ 3 แห่ง คือ อมตะนคร จังหวัดชลบุรี, อมตะซิตี้ จังหวัดระยอง และอมตะซิตี้ เบียนหัว ที่อยู่ในประเทศเวียดนาม

  
     นอกเหนือจากการบริหารกิจการในเครืออมตะแล้ว คุณวิกรมยังเคยทำงานด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นฐานะผู้จัดรายการวิทยุ ที่ใช้ชื่อรายการว่า "CEO Vision" และก็ยังเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์คมชัดลึก, มติชน และโพสต์ทูเดย์ แถมยังเคยเขียนหนังสือ "ผมจะเป็นคนดี" กับ "มองโลกแบบวิกรม" ที่ขายได้ในระดับแสนเล่มมาแล้ว อีกทั้งด้วยความที่คุณวิกรมเป็นนักบริหารที่มีความสามารถจึงทำให้เขาถูกสัมภาษณ์ลงนิตยสารมากมาย อาทิ Thai Commerce, Thailand Timeout และ Forbes เป็นต้น

         ส่วนงานด้านอื่น วิกรมเคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กับที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และยังเคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ประธานสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย, ประธานคณะกรรมการไทย ไต้หวัน สภาอุตสาหกรรม




         สิ่งที่ทำให้ผู้ชายที่ชื่อวิกรมมีทุกสิ่งทุกอย่างในทุกวันนี้นั่นก็คือ ความเป็น "นักฝัน" ของเขา ซึ่งเขาเคยเขียนไว้ในหนังสือ "มองโลกแบบวิกรม" ว่า "ผมเป็นคนชอบหลอกตัวเองด้วยการสร้างความรู้สึกในแง่ดีบ่อยๆ กระทำจนเป็นนิสัยในการล่อหลอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ เพราะความฝันคือเข็มทิศ เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต เป็นน้ำหล่อเลี้ยงมนุษย์ และที่สำคัญ ความฝันไม่เสียสตางค์"

         ทั้งนี้ชีวิตในวัยเด็กของ วิกรม นั้นไม่เคยมีแม้ห้องส่วนตัว เขาจึงฝันอยากจะมีอาณาจักรส่วนตัวที่เขาจะมีอิสระและทำอะไรก็ได้ตามใจ ฝันนั้นจึงกลายมาเป็นอาณาจักร "อมตะนคร" และ "บ้าน" ก็เป็นอีกฝันที่คุณวิกรมปรารถนา เขาได้สร้างบ้าน 2 หลัง หลังหนึ่งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ บนเนื้อที่กว่า 30 ไร่ พื้นที่ดังกล่าวเมื่อก่อนเป็นเพียงไร่ข้าวโพดธรรมดา แต่ปัจจุบันเต็มไปด้วยธรรมชาติมากมาย ทั้งสระน้ำขนาดเกือบ 3 ใน 4 ของเนื้อที่, ภูเขา ที่นำดินจากการขุดสระมาสร้าง, ถ้ำ ที่สร้างขึ้นเอง และในถ้ำยังมีห้องนอน ห้องรับแขก ภาพวาดเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว ที่เลียนแบบประติมากรรมจากผาแต้มอีกด้วย

   
   ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากความฝันของเขาทั้งนั้น วิกรมเคยบอกว่า เขาอยากมีภูเขา อยากมีถ้ำเป็นของตัวเอง แต่การจะไปซื้อหรือยึดที่เป็นของหลวง หรือของรัฐคงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องสร้างธรรมชาติเหล่านั้นขึ้นมา  นอกจากนี้ในเนื้อที่ดังกล่าวยังเต็มไปด้วยต้นไม้ ที่เขาปลูกไว้ และคาดว่าอีกไม่กี่ปีบนเนื้อที่ของเขาจะเป็นป่าสงวนย่อมๆ เลยทีเดียว … ท่ามกลางธรรมชาติ วิกรมยังได้สร้างบ้านในสระน้ำอีกด้วย โดยเขาได้ตั้งชื่อไว้ว่า "ศานติสงบ" อันเป็นสถานที่ที่เขาจะได้สัมผัสความสงบจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปลูกฝังเขามาตั้งแต่เด็กๆ 


         ส่วนบ้านอีกหลังของวิกรมอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ใช้ชื่อว่า "AmataCastle" โดยเขาตั้งใจสร้างให้เป็นปราสาทหินทรายฝังบรอนซ์หลังใหญ่ ภายในจะมีทั้งสเตเดียมแบบกรีกโรมัน, ห้องบอลรูม และสวนป่าหิมพานต์ พร้อมทั้งยังเปิดเป็นหอศิลป์โชว์ภาพเขียนของศิลปินในเมืองไทย อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของโบราณและของใช้ส่วนตัวที่มีค่าทางจิตใจต่อตัวเขาอีกด้วย

         แม้ชีวิตวิกรมจะมีหลายสิ่งที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องและเชิดชูให้เป็นบุคคลที่มากไปด้วยความสามารถ เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และประสบความสำเร็จมากๆ คนหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่าในอีกมุมชีวิตของวิกรมยังมีเรื่องให้อึ้งได้เช่นกัน พร้อมกับเกิดคำถามตามมาว่า "เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร"
         ทั้งนี้วิกรมเคยมีปัญหากับพ่อ และถึงขนาดว่าเขาได้ทำร้ายพ่อมาแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาต้องหนีออกจากบ้าน และทุกวันนี้เขาก็ไม่เคยกลับบ้านนานมาแล้วหลายปี และที่เคยคุยกับพ่อก็เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา แถมเป็นการคุยกันทางโทรศัพท์อีกต่างหาก

         "ผมล้มเหลวกับครอบครัว โดยเฉพาะกับพ่อ และนี่คือสิ่งที่ผมอยากถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นใหม่ อะไรที่เป็นสีดำ อะไรที่เป็นความผิดพลาดในชีวิตของผม ผมไม่ปิดบังเลยนะ อย่างเรื่องที่ผมขัดแย้งกับพ่อ ผมไม่อยากให้มันเกิดกับคนอื่น ผมถึงเอาตัวผมเป็นตัวอย่าง เอาตัวผมไปเป็นตัวละคร ให้คนอื่นได้ดูว่าตัวละครตัวนี้มันเต้นผิดยังไง มันร้องผิดรำผิดยังไง"

         ส่วนชีวิตด้านครอบครัวนั้นเขาเคยแต่งงานมาก่อนแล้ว หากคุณเคยดูบทสัมภาษณ์รายการหรือสื่อต่างๆ ถ้าถามเรื่องชีวิตครอบครัวเขาก็จะบอกเสมอว่า เขามีภรรยาคนเดียวและจะมีคนสุดท้ายก็คือ เคลลี่

         วิกรมกับเคลลี่เจอกันที่ไต้หวัน ตอนนั้นเขาเพิ่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และได้ไปเรียนต่อที่ไต้หวัน เคลลี่เป็นลูกสาวของนายสถานีวิทยุกระจายเสียง ส่วนแม่เป็นเจ้าของโรงงานตุ๊กตาหินส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ความน่ารักและเป็นคนเก่งของเคลลี่ ทำให้วิกรมตกหลุมรักและประทับใจในความมีน้ำใจของเธอที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลเด็กพลัดถิ่นอย่างเขา จนทำให้เป็นบ่อเกิดแห่งความรัก ความซาบซึ้งใจและความผูกพันในมิตรภาพของกันและกัน

         วิกรมเล่าว่า "ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มติดต่อการค้า บางวันแย่หนักมีเงินติดตัวเพียง 25 สตางค์เท่านั้น ก็มีแต่เคลลี่ที่ส่งเงินมาทางจดหมายครั้งละ 5 เหรียญ 10 เหรียญ ให้ผมได้ใช้ประทังชีวิต"

  อีก 10 ปีต่อมา เขาและเคลลี่ก็จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตขึ้นที่ไทเปและสวนสามพราน ชีวิตคู่ของวิกรมมีความสุขดีมาตลอดจนถึงช่วงก่อนอายุ 30 ปี ธุรกิจของวิกรมเริ่มอยู่ตัว เขากับภรรยาไม่เคยทะเลาะกันเลย เพราะมีความรักแบบเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจกันดี แต่ไม่นานนักความรักระหว่างคนทั้งสองก็เริ่มเกิดปัญหาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ วิกรมจึงส่งเคลลี่ไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกา ด้วยความหวังว่าการห่างกันจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองยิ่งยากจะประสานให้ดีดังเดิม สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้หย่าขาดจากกัน 

         การตัดสินใจเลิกกันทั้งคู่ ทำให้เขาใช้เวลารักษาแผลใจอยู่ช่วงใหญ่ และทำให้ วิกรมสิ้นศรัทธาต่อความรัก หมดความเชื่อมั่นและความหวังในเรื่องการแต่งงานเลยทีเดียว จนในที่สุดเขาก็กลับมาใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง พร้อมกับมีผู้หญิงมากมายเข้ามาชีวิต แต่เขาก็ไม่เคยแต่งาน หรือยกย่องใครมาเป็นภรรยา จนทำให้เขาถูกสังคมมองว่า เป็นเพลย์บอยคนหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตวิกรมทุกคนจะต้องยอมรับในเงื่อนไขและขอบเขตแห่งความสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้า ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ และการเป็นอิสระต่อกัน ไม่มีการผูกมัดหรือมีพันธะใดๆ ต่อกัน หากมีผลพวงที่เกิดจากความสัมพันธ์ขึ้นก็จะต้องจบลงที่คลีนิกเท่านั้น 

         "ผมทำผู้หญิงท้อง 10 กว่าคน และพาไปทำแท้งทั้งหมด ถ้าเกิดมาแล้วเป็นปัญหาจะให้(เด็ก)เกิดมาทำไม ก็พาไปทำแท้ง ทำให้ทุกวันนี้ผมไม่มีภาระเรื่องลูก ลูกของผมคนแรกถ้าผมไม่ให้เธอทำแท้ง วันนี้เขามีอายุ 30 ปีแล้ว" 



         สำหรับเหตุผลที่เขาเลือกการทำแท้ง ก็เนื่องจากความคิดที่ว่า ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับใคร ไม่ว่าผู้หญิงหรือคนรอบข้างและสังคม โดยเฉพาะผู้ที่จะเกิดมาซึ่งไม่มีส่วนร่วมรู้ในสิ่งที่พ่อกับแม่ได้สร้างขึ้น หากพ่อกับแม่ไม่มีความพร้อมในทุกด้าน ก็เท่ากับเรากำลังสร้างบาปให้แก่ผู้บริสุทธิ์ และมีส่วนในการสร้างปัญหาและมลภาวะแก่สังคมถ้าถามเขาว่า แล้วทรัพย์สมบัติที่มีมากมายเขาจะให้ใคร เขาบอกว่า คนนั้นอาจจะเป็นลูกหลาน เป็นญาติ เป็นพนักงาน หรือใครก็ได้ที่เป็นคนดี สามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของเขาได้ 

         "ลูกน้องผมอยู่กับผมมาตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัท แล้ววันนี้พวกเขาก็ทำได้ดี ผมไปแย่งงานเขาทำก็ไม่มีประโยชน์ เราชอบหลอกตัวเองแบบเถ้าแก่ว่าต้องลงมือทำเองทุกเรื่อง คนจีนยุคก่อน ถ้าไม่ใช่ลูกหลาน ไม่ใช่พรรคพวก ก็ไม่ให้ตำแหน่ง ผมเองก็มีเชื้อจีน แต่ผมว่าความคิดแบบนั้นมันไม่ถูก ผมบอกไว้เลยว่าบริษัทผมต้องเป็นของมหาชนอย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ควรจะมีคนจากครอบครัวผมเกิน 2 คน เป็นกรรมการหรือผู้บริหาร"



         ทุกวันนี้งานของวิกรม คือ อ่าน เขียน และถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตของตัวเองให้คนอื่นๆ ได้รู้ ได้นำไปปรับใช้ในชีวิต ไม่เข้ามานั่งบริหารธุรกิจหลายร้อนล้านเอง แต่คอยให้คำแนะนำและคอยชี้ทางให้กับลูกน้อง … หลายคนที่สนิท ได้สัมผัสกับชีวิตอันเรียบง่าย มีวิสัยทัศน์กว้างไกลของเขา ก็ทำให้บ่อยครั้งมีคำถามว่า "คุณวิกรมไม่คิดลงเล่นการเมืองเหรอ ไม่คิดไปช่วยพัฒนาประเทศชาติบ้างเหรอ"เขาก็บอกว่าเขาไม่คิดเล่นการเมือง และทุกวันนี้เขาก็มีส่วนช่วยประเทศชาติในการเพิ่ม GDP ให้กับประเทศ เพราะ บริษัทของเขามี GDP สูงทีเดียว นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าไม่ต้องการเงินทอง ไม่ต้องการชื่อเสียง ลาภยศสรรเสริญ ถึงมีคนมาให้รางวัล ก็จะไม่รับรางวัลอะไรทั้งนั้นในชีวิตนี้ แม้กระทั่งโนเบล เพราะเขาคิดว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่มุ่งหวัง สิ่งที่เขาคาดหวังคือความสุขกับความภูมิใจต่างหาก



         "ทุกวันนี้ห้องที่ผมนอนจะมืดหมดเลย ห้องนอนผมไม่มีหน้าต่าง ไม่มีเสียง ไม่มีแสง ผมอยู่กับความเป็นศูนย์ เวลาผมปิดไฟมันก็มืดหมด มืดแบบไร้ซึ่งขอบเขต เงียบ ไร้ซึ่งทุกอย่าง นำไปสู่ความสงบ การที่เราอยู่กับตัวเอง ไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องกับตัวตนของเรา มันทำให้เรารู้จัก เข้าใจความเป็นตัวตน ความเป็นวิกรมอย่างแท้จริง ผมว่าถ้าเราเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้ และอย่างถูกต้อง เราจะรู้จักตัวเอง และรู้ว่าเรากำลังมองหาอะไรในชีวิต"


                                           
                                              ข้อมูลอ้างอิง http://hilight.kapook.com/view/17324/6

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

                           อัจฉริยะผู้หยั่งรู้จากภายใน 

                         



ในบรรดาสุดยอดอัจฉริยะเมืองไทย ผู้มีชื่อเสียงขจรไกลจนได้รับการยอมรับในระดับโลกคงไม่มีใครปฏิเสธว่า “ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา” คือหนึ่งในนั้น

จากผลงานที่ได้ร่วมโครงการคิดค้นและออกแบบอุปกรณ์ควบคุมยานอวกาศขององค์การนาซ่า ให้ลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารได้อย่างนุ่มนวลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เป็นประจักษ์พยานสำคัญถึงว่า คนไทยตัวเล็กๆคนหนึ่งก็มีความเป็นอัจฉริยะไม่น้อยหน้าฝรั่งมั่งค่าเหมือนกัน

แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือ ความเป็นอัจฉริยะของบุคคลท่านนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากภายใน ด้วยวิถีแห่งศาสนา นั่นคือ การใช้ปัญญาที่เกิดจากดวงจิตที่สงบนิ่ง มีสมาธิ กลายเป็นพลังสู่การค้นพบ หาใช่เพียงแค่การก้มหน้าก้มตาค้นคว้าวิจัยตามสไตล์นักวิทยาศาสตร์ตะวันตกแต่อย่างเดียวไม่ และด้วยความเป็นปราชญ์ที่ออกมาจากข้างในนี้เอง ทำให้เส้นทางอัจฉริยะของดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ได้รับการขนานนามว่า เป็น “อัจฉริยะบนเส้นทางสีขาว” 



ประวัติโดยสังเขปของท่าน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2483 เดิมชื่อ องอาจ หรือ “เอ๊ะ” เป็นบุตรคนกลางของพลตรี มล.มานิตย์ และ คุณหญิงเฉลิมขวัญ ชุมสาย ณ อยุธยา เด็กชายองอาจ ( ชื่อในขณะนั้น) เริ่มศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนอนุบาลละออกอุทิศโรงเรียนเซนต์ฟรังต์ซีสซาเวียร์คอนแวนต์ โรงเรียนเซนคาเบรียล จนจบชั้น ป.4จึงย้ายไปเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ แต่เรียนได้แค่ครึ่งปีก็ต้องย้ายตามคุณพ่อไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้เรียนต่อจนอายุ 12 ปีก็ย้ายไปอยู่ประเทศอังกฤษ ศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีเกียรตินิยมและปริญญาโท ในสาขาวิศวกรรมเครื่องกล (Mechanical science ) จากมหาวิทยาลัยเคมบริจด์ และปริญญาเอก  วิศวกรรมไฟฟ้า สาขาสื่อสารโทรคมนาคม จากมหาวิทยาลัยลอนดอน เมื่อ พ.ศ.2509 




ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ได้กลับมาเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนถึง พ.ศ.2533 ได้ลาอุปสมบทอยู่พักหนึ่ง เมื่อลาสิกขาบทออกมา ท่านเกิดความคิดว่า โลกหมุนไปเร็วเหลือเกิน



 วิทยาการใหม่ก็ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว หากท่านจะใช้แต่ความรู้เก่าที่มีอยู่สอนนักศึกษาก็คงทำประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ ท่านจึงขอไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคมที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับหางานทำไปด้วย โดยได้เข้าทำงานกับบริษัท Micromega ในลอสแองเจอริส เป็นฝ่ายดูแลผลิตภัณฑ์ไมโครเวฟ ตามความถนัดที่ท่าเคยมีผลงานวิจัยด้านนี้มาแล้วเมื่อครั้งเรียนปริญญาเอกและด้วยความรู้ความสามารถนี้เอง                                                        ส่งผลให้ท่านได้กลายเป็นอัจฉริยะเมืองไทยที่ก้าวไกลสู่ระดับโลก 

เมื่อองค์การนาซ่าได้ประกาศรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมทำงานในโครงการส่งยานอวกาศ “ไวกิ้ง” ไปสำรวจดาวอังคาร ดร.อาจองได้เขียนโครงการเสนอตัวเข้าไปในนามบริษัท แต่ถูกปฏิเสธเพราะอุปสรรคด้านเชื้อชาติสัญชาติ เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นความลับทางเทคโนโลยีที่สหรัฐอเมริกาเกรงว่าจะรั่วไหลไปสู่ประเทศคู่แข่งอย่างประเทศรัสเซียในขณะนั้น        แต่ ดร.อาจองก็ไม่ลดละความพยายาม จากการศึกษากฏหมายของสหรัฐฯ ทราบว่ามีช่องโหว่ที่อนุญาตให้คนต่างชาติร่วมงานได้ในกรณีที่ขาดแคลนผู้รู้สัญชาติสหรัฐฯ  ซึ่งในขณะนั้นสหรัฐฯก็ยังไม่มีผู้ที่จะคิดค้นระบบการนำยานอวกาศลงจอดบนพื้นผิวดาวเคราะห์ได้ ท่านจึงส่งประวัติและโครงการเข้าไปใหม่อีกครั้ง คราวนี้นาซ่าส่งข้อมูลของท่านให้หน่วยข่าวกรองอย่าง FBI และ CIA ตรวจสอบอย่างละเอียด



อยู่หลายเดือน ในที่สุดก็ตอบรับให้ท่านเข้าร่วมโครงการสิ่งที่น่าสนใจในการร่วมทำงานในโครงการนี้ของ ดร.อาจอง ก็คือ ในขณะที่ผู้ร่วมโครงการช่วยกันค้นหาวิธีนำยานไวกิ้งลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารอย่างนุ่มนวล เพื่อไม่ให้เกิดการแระแทกจนยานเสียหายและไม่อาจส่งข้อมูลกลับมาได้เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีตนั้น  บริษัทที่รับการว่าจ้างดำเนินการจากนาซ่า คือ บริษัท Martin Marrietta นั้น ใช้วิธีการให้มีการสร้างต้นแบบ (Prototype) ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ก่อนจะมีการทดสอบด้วยเครื่องทดลองเสมือนจริง (เครื่อง Simulation) เพื่อจำลองการร่อนลงของยาน ซึ่งมีการดัดแปลงแก้ไขใหม่อยู่หลายรอบ แต่ผ่านไปเป็นปีก็ยังไม่สำเร็จ จนทุกคนในโครงการพากันเครียดไปตามๆกัน

ทว่า ดร.อาจอง กลับพลิกแนวคิด โดยมองว่า วิธีการแบบอเมริกัน คือ คิดค้นและทดลองภายใต้ความกดดันนั้นคงไม่ได้ผล ท่านจึงเปลี่ยนมาใช้แนวทางตามวิถีพุทธ คือ การปลีกตัวไปทำสมาธิบนยอดเขา Big Bear ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปล่อยวางจิตใจให้สงบ ก็เกิดปัญญาหยั่งรู้ขึ้นมาในเช้าวันที่ 5 ของการทำสมาธิ นั่นคือการค้นพบวิธีการใช้คลื่นไมโครเวฟควบคุมการร่อนลงจอดของยาน ซึ่งเมื่อนำเอามาทดลอง ปรากฏว่าได้ผล สามารถควบคุมยานจำลองให้ลงจอดได้อย่างนุ่มนวล สร้างความตื่นเต้นและมหัศจรรย์ใจให้กับเพื่อนร่วมงานชาวตะวันตกเป็นอย่างมาก


หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการคิดค้น ดร.อาจองก็ไม่ได้อยู่รอดูความสำเร็จของโครงการ เพราะท่านได้รีบเดินทางกลับมาสอนนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามเดิม ฝากไว้แค่ชื่อเสียงของคนไทยให้องค์การนาซ่าได้จารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์


                                                     
                ข้อมูลอ้างอิง http://idolmanstory.blogspot.com/2013/05/blog-post.html

โน๊ต อุดม


                                 โน๊ตอุดม แต้พานิช เจ้าพ่อแห่งเดี่ยว 10



ประวัติ : โน๊ต อุดม
ชื่อ : นาย อุดม แต้พานิช
เล่าเรื่องราวส่วนตัว :
อุดม แต้พานิช เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2511 ปัจจุบัน อายุ
35 ปี แม้จะมีวัยเพียงเท่านี้ แต่อุดมก็ได้สร้างผลงานออกมา
สู่สายตาประชาชนมากมาย ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นล้วนเป็นที่ได้
รับความนิยมสูงสุด
ประวัติการทำงาน
ก้าวแรกในวงการ :
อุดม แต้พานิช เข้าวงการบันเทิงครั้งแรกเมื่อปี 2536 เริ่มจาก
การเป็น 1 ใน 5 เสนาฯ รายการยุทธการขยับเหงือก ซึ่งเป็น
รายการ Comedian Show ที่มีเรตติ้งสูงสุดของช่อง 5 ในยุคนั้น
จึงทำให้อุดมได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิง ย่าง เต็มตัวในชื่อ
เสนาฯโน้ต


กว่าจะมาเป็นเดี่ยว :
หลังจากความสำเร็จในครั้งแรก อุดม แต้พานิช ได้ตัดสินใจ
แยกตัวออกมาจากเสนาฯยุทธการ และได้สร้างปรากฏการณ์
ขึ้นในเมืองไทย นั่นก็คือ การพูดตลกคนเดียวบนเวที ทำให้
คนไทย ได้รู้จักคำว่า Stand Up Comedy หรือ ในชื่อไทย
เดี่ยวไมโครโฟน เป็นครั้งแรก


การแสดงเดี่ยวไมโครโฟนครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี 2538 และนี่
ถือเป็นการเริ่มต้น ส่งผลให้ อุดม แต้พานิชได้กลายเป็นตลก
เดี่ยวชั้นแนวหน้าของประเทศ จนเกิด เดี่ยว2, 3, 4 เป็นโชว์
คนเดียว กับไมค์ที่มีคนรอบัตรจำนวนมาก จนถึงกับต้องเปิด
การแสดงติดต่อกันถึง 21 รอบในแต่ละครั้ง ในประเทศนี้
นอกจากธงไชย แมคอินไตย์ ก็เห็นจะมีเขานี่แหล่ะที่ทำ
อย่างนั้นได้


เล่าเรื่องราว งานเขียน :
ทางด้านงานเขียนหนังสือ อุดม แต้พานิชเป็นคนหนึ่งที่ได้
ชื่อว่าเป็นนักเขียน Best Seller ปัจจุบันนี้หนังสือของอุดม
แต้พานิชมีถึง 9 เล่ม ได้แก่

- โทษฐานที่รู้จักกัน (พิมพ์ซ้ำ 31 ครั้ง)
- หนังสือโป๊ (พิมพ์ซ้ำ 20 ครั้ง)
- เดี่ยวไมโครโฟนโชว์ห่วย (พิมพ์ซ้ำ 12 ครั้ง)
- รวมมิตรแต้พานิช (พิมพ์ซ้ำ 18 ครั้ง)
- เดี่ยวฯ 4 (พิมพ์ซ้ำ 8 ครั้ง)
- โน้ตบุ๊ค (พิมพ์ซ้ำ 13 ครั้ง)
- ก้นกล่อง (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
- เดี่ยวไมโครโฟน 1 (พิมพ์ซ้ำ 11 ครั้ง)
- GU(Garbage of Udom) เล่ม 1-3 จำนวน 170,000 เล่มในเวลาเพียง 6 สัปดาห์

นอกเหนือเหล่านี้ :
นอกจากจะเป็น Stand Up Comedian เป็นนักเขียนแล้ว อุดม
แต้พานิช ยังมีผลงานทาง การแสดงภาพยนตร์เรื่อง กล่อง
รับบทเป็นพระเอกซึ่งได้รับค่าตัวแพงที่สุดในประเทศไทย
และยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายโฆษณาคลื่นโทรศัพท์มือถือDtac
อีกทั้งอุดมยังเป็นศิลปินวาดภาพ เขาเคยมีผลงานแสดงผลงาน
ทางศิลปะมาแล้วถึงสามครั้ง ครั้งแรกใช้ชื่อว่า ยาระบายในปี
2542 และในปีถัดมาใช้ชื่องานว่า Note Udom on Canvas
ล่าสุดในปี 2544 อุดมใช้ชื่องานว่า Voodoo Gu do


ผลงานต่างๆที่อุดมได้สร้างสรรค์ออกมานั้น ทำให้สื่อมวลชน
หลายแขนงได้ยกย่อง อุดม แต้พานิช ถือเป็นบุคคลสำคัญ
คนหนึ่งที่มีส่วนในการสร้างสรรค์สังคม

- ปี 2540 ได้รับเลือกเป็น บุคคลแห่งปีจากคอลัมภ์จุดประกาย
หนังสือพิมพ์กรุงเทพฯธุรกิจ
- ปี 2542 หนังสือพิมพ์ The Nation : Special issue ได้รับเลือก
ให้อุดม แต้พานิช ได้เป็น 1 ใน 100 บุคคลแห่งศตวรรษ
ในสาขาอาชีพการแสดง
- และในปีเดียวกันนั้นเอง นิตยสาร Hi Class ได้มีการจัดอุดม
แต้พานิช ให้เป็น 1 ใน 50 ผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่สุดใน
ประเทศไทยอีกด้วย







                     

นิ้วกลม


                                 " นิ้วกลม "

 คอหนังสือคงไม่มีใครไม่รู้จักกับนามปากา "นิ้วกลม" นักเขียนคนดังที่มีผลงานหนังสือมาแล้วกว่า 20 เล่ม ในระยะเวลา 8 ปี และเขาคือผู้สร้างปรากฏการณ์ความแปลกใหม่ให้กับคนรักการอ่าน ด้วยมุมมองที่แตกต่างอย่างลงตัว แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักกับความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายนักสร้างสรรค์คนนี้ รายการ "The Idol คนบันดาลใจ" (15 พฤษภาคม) จึงจะพาทุกคนไปรู้จักกับเขาให้มากขึ้น ..



 สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือ เอ๋ นักเขียนวัย 33 ปี ที่ใช้นามปากกาว่า "นิ้วกลม" คือผู้ชายที่มีคนตั้งฉายาให้ว่า "ณเดชน์แห่งวงการนักเขียน" เพราะในเวลานี้เขาคือซูเปอร์สตาร์ตัวจริงเสียงจริงในแวดวงหนังสือ ที่มีแฟนคลับมากมายรอคอยจะเสพผลงานดี ๆ ของเขาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้นิ้วกลมจะปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ เพราะเขามีมุมมองว่า หนังสือไม่ใช่สื่อที่สร้างความบันเทิง แต่เป็นสื่อที่สร้างความคิด คำว่าซูเปอร์สตาร์จึงเหมาะกับงานสายบันเทิงมากกว่า

          นิ้วกลม เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่เคยศึกษาอยู่ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีความฝันกับมุมมองแปลกใหม่อยู่ในสายเลือด จุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาเริ่มต้นจากการอ่านหนังสือเรื่อง จินตนาการไม่รู้จบ (The Never Ending Story) นวนิยายแปลแฟนตาซีจากประเทศเยอรมนี ที่เพื่อนแนะนำให้อ่าน จนกระทั่งเป็นการต่อยอดไปยังการอ่านหนังสือเรื่องอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่คือหนังสือของกวีซีไรท์คนสำคัญ "วินทร์ เรียววาริณ"




  เขาบอกว่า กระบวนการการอ่านการเขียน ก็เหมือนปรากฏการณ์ฝน เมื่ออ่านมากก็เหมือนน้ำระเหยขึ้นไปกองกันอยู่ในสมองไม่ต่างอะไรจากก้อนเมฆ จากนั้นก็กลั่นออกมาเป็นน้ำฝน เปรียบเทียบกับงานเขียน ที่คล้ายกับการรวบรวมเอาน้ำฝนจากพี่ ๆ นักเขียนท่านอื่น มารวมกันในสมองและกลั่นออกมาเป็นงานเขียนชิ้นใหม่ ที่เป็นเม็ดฝนจากสมองของเขา
          การเรียนวิชาโฆษณาเมื่อตอนเขาอยู่ ปี 4 กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเจอสิ่งที่ "ใช่" จนเลือกไปฝึกงานสายโฆษณาแทนสายสถาปัตย์ที่เขาร่ำเรียนมา โดยนิ้วกลมมีโอกาสได้ฝึกงานที่บริษัท ลีโอเบอร์เน็ตต์ บริษัทเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของเมืองไทย และเข้าร่วมประกวด B.A.D. Awards (Bangkok Art Directors Awards) รางวัลใหญ่ในวงการโฆษณา ซึ่งการประกวดในครั้งนั้นใช้ชื่อหัวข้อว่า "ประเทศไทยในฝัน ไม่มีคอรัปชั่น" นิ้วกลมเลือกส่งผลงานเข้าประกวดด้วยการ มอบกุญแจรถ BMW, เช็คเงินสด, และเงินสดปึกหนึ่ง ทั้งหมดนั้นคือ สิ่งสมมุติที่ส่งไปให้คณะกรรมการ พร้อมกับข้อความขอให้คณะกรรมการพิจารณาผลงานของเขาเป็นพิเศษ จากนั้นก็ลงท้ายว่า"ประเทศไทยในฝันไม่มีคอรปชั่น คำตอบอยู่ที่คุณ .." แน่นอนว่าผู้ที่คว้ารางวัลดังกล่าว ก็คือ นิ้วกลม กับแนวคิดไม่ธรรมดาของเขานั่นเอง
          จุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วงการหนังสือของนิ้วกลม เริ่มจากการอ่านนิตยสาร a dayนิตยสารแนวใหม่ที่เด็กวัยรุ่นสมัยนั้นรู้จักกันดี เขากับเพื่อน ๆ จึงเกิดไอเดียอยากมีนิตยสารเป็นของตัวเอง และรวมตัวกันทำนิตยสารทำมือชื่อ DIM ขึ้น โดยย่อมาจาก Do It Myself ซึ่งเขายอมรับว่าผลงานชิ้นนี้เป็นความภาคภูมิใจมาก ๆ และเป็นพลังขับเคลื่อนความฝันของเขา แม้จะไม่ได้ออกมาสมบูรณ์แบบในสายตาคนอื่นก็ตาม




ผลงานชิ้นแรกของเขาที่ได้ตีพิมพ์อย่างจริงจัง ก็คือ "โตเกียวไม่มีขา" ที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ จากการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นของเขาผ่านตัวหนังสือ โดยผู้ที่ให้โอกาสเขาในครั้งนี้ก็คือ โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บรรณาธิการคนสำคัญของ a day นั่นเอง จากนั้นเขาจึงออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อไปหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในมุมต่าง ๆ ของโลก เพื่อสร้างสรรค์มาเป็นผลงานหนังสืออีกหลายเล่ม และต่อยอดไปเป็นหนังสือแนวอื่น ๆ เช่น ความสุขโดยสังเกต, ความรักเท่าที่รู้, ตรวจภายใน และเรื่องอื่น ๆ อีกกว่า 20 เล่ม แน่นอนว่าหนังสือของเขากลายเป็นหนังสือขายดีติดอันดับ มาจนถึงทุกวันนี้
          และนี่คือผู้ชายธรรมดาที่ใช้ชีวิตแบบธรรมดาในมุมมองที่แตกต่าง จนเกิดการตกผลึกทางความคิดออกมาเป็นผลงานดี ๆ ที่ให้ทุกคนอ่านแล้วคิดตามได้เสมอ เรียกได้ว่า นิ้วกลม คือคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ


ท่านสามารถรับชมได้ในรายการ the idol ตามนี้ครับ

รายการ the IDOL คนบันดาลใจ - นิ้วกลม 1/3


รายการ the IDOL คนบันดาลใจ - นิ้วกลม 2/3

 รายการ the IDOL คนบันดาลใจ - นิ้วกลม 3/3



     ข้อมูลอ้างอิง http://men.kapook.com/view41080.html


นายปุณณวิช จิตเจือจุน

                          นักเรียนเหรียญทองโอเลมปิคคณิตศาสตร์



เรามาชมประวัตินักเรียน เหรียญทองโอเลมปิคคณิตศาสตร์กันเลยครับว่า พี่เขามีเคล็ดลับอย่างไรถึงได้เก่งคณิต พิชิตเหรียญทองโอเลมปิคมาได้ 


นาย ปุณณวิช จิตเจือจุน ชื่อเล่น พี่คิม
 เคยศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี
ได้ศึกษาต่อมัธยมปีที่4 ที่โรงเรียน มหิดลวิทยานสรณ์
ได้ไปแข่งขันคณิตศาสตร์โอเลมปิค ได้รับรางวัลเหรียญทองคำ
ได้สอบแข่งขันคณิตศาสตร์ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ และได้รับรางวัล

แรงบันดาลใจของพี่คิม พี่เขากล่าวว่าเคยสอบคณิตศาสตร์ได้อันดับ1 ของสายชั้น เลยทำให้พี่เขามีแรงกระตุ้นแรงผลักดันอยากเป็นเด็กเรียนดี พี่คิมบอกว่า เป็นคนที่ชอบคณิตศาสตร์มาก คณิตศาสตร์สามารถช่วยในการแก้ปัญหาต่างๆได้ ฝึกการคิดที่มีเหตุมีผลฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์ พี่คิมยังบอกอีกว่า คณิตศาสตร์สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกวิชา



ปัจจุบัน พี่คิมหรือ นายปุณณวิช จิตเจือจุน เป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

คำคมของพี่คิม " เชื่อมั่นว่าเราทำได้ แล้วลงมือทำ "

    
                   

คุณตัน ภาสกรนที


     
 




เรามาดูความสำเร็จของคุณตัน ภาสกรนที กันดีกว่าครับว่า เขาทำอย่างไรถึงได้ประสบความสำเร็จเป็นนักธุรกิจพันล้านขนาดนี้

 ตัน ภาสกรนที หรือที่บรรดาสื่อมวลชนจะถนัดเขียนถึงเขาว่า ตัน โออิชิ
   เขา เติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน เริ่มต้นสร้างทุกอย่างจากจุดที่เรียกว่า…ศูนย์ ถึงแม้เส้นทางเดินบนถนนสายธุรกิจของเขาในวันนี้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ระดับที่ เรียกว่าเป็นตำนาน”
   … หากแต่ว่าเขาเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานขายของ แบกของ กินเงินเดือนไม่ถึงพันบาท สู่การบริหารงานธุรกิจระดับพันล้านในเครือโออิชิกรุ๊ป ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน, โออิชิ, โออิชิ กรีนที, ฯลฯ โดยกลยุทธ์ทางธุรกิจของเขาไม่ได้มีปริญญาด้านการตลาดจากสถาบันใดมาการันตี แต่เขาเป็นนักธุรกิจที่เป็นทั้งนักคิด นักถาม นักวางแผน นักการตลาด ที่ประสบความสำเร็จในถนนสายธุรกิจได้อย่างไม่เป็นรองใคร




 จากพนักงาน กินเงินเดือนไม่กี่ร้อย จนมีอาณาจักรภายใต้แบรนด์โออิชิ สู่ความเป็นมหาชน ตัน ภาสกรนที บอกว่า…จุดเริ่มต้นของเขา คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้ ที่ผ่านมาเพิ่งมีกรณีข่าวเกี่ยวกับเครื่องดื่มโออิชิ กรีนทีที่ลูกค้าดื่มแล้วมีปัญหา เขาสรุปออกมาว่าชาเขียวที่มีปัญหาที่ลูกค้าซื้อไปเป็นกรดเกลือ ซึ่งเป็นกรดเกลือที่ในวงการอุตสาหกรรมอาหารไม่มีใครใช้ กระทรวงสาธารณสุขและ อย. เขาเข้าไป ตรวจแล้วไม่ได้อยู่ที่การผลิต แต่ทั้งหมดนี้เราคงไม่กล่าวโทษใคร เพราะเราไม่มีหลักฐาน และมันต้องใจเขาใจเรา
   มีคำพูดว่าใน ‘วิกฤต’ บางทีก็มี ‘โอกาส’ ครับ


   ผมมองในแง่ดีว่าการมีวิกฤตทำให้เราได้เห็นว่าเรามีลูกค้าเยอะแค่ไหน มีคนเข้ามาให้กำลังใจเยอะ ผมรับโทรศัพท์แทบจะไม่ไหว รับทั้งต่างประเทศ ต่างจังหวัด มีเจ้าของสินค้าที่เคยเจอวิกฤตแบบนี้โทร.มาให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ เขาเคยเจอเหมือนกันนะเมื่อปีนี้ ๆ เขาโทร.มาว่า เคยเจอปัญหาคล้าย ๆ กัน แต่ผมหนักกว่าตรงที่สื่อสมัยนี้เร็ว หนังสือพิมพ์ลงแค่หนึ่งฉบับ ทีวี 3,5,7,9 อ่านครบทุกช่องเลย แล้วลงติดต่อกัน 3-4 วัน ถึงแม้อ่านหัวข่าวแล้วปรากฏว่าข้างในไม่มีอะไร บางทีอ่านแค่หัวข่าว ข้างในข่าวไม่ได้อ่าน แต่ทุกคนตกใจไปหมดแล้ว
   กว่า ที่คุณตันจะมาถึงจุดที่มีธุรกิจเป็นพันล้านแบบนี้ ชีวิตเริ่มจากศูนย์ พอเรียนจบมศ.3 อายุ 17 ปี ผมตัดสินใจออกมาทำงานเลย ผมเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง และมีจิตใจอยากเป็นนักธุรกิจ ตอนเด็ก ๆ เห็นคนทำงานแล้วอยากไปทำ เวลาปิดเทอมผมจะไปทำงานช่วยเสิร์ฟบะหมี่ ไปช่วยเขาลวกบะหมี่ ไปขายเฉาก๊วย เลี้ยงไก่ยังเคยเลย มีญาติของเพื่อนเขาเลี้ยงไก่ เราก็ขอไปดูไปช่วย ชอบทำงาน มีความสุข ในการทำงาน ไม่เคยคิดว่าเหนื่อย ทำได้เรื่อย ๆ


 ย้อนวัยเด็ก “ตัน โออิชิ”
   ในวัย 17 ปี ก็ค่อนข้างคิดต่างจากวัยรุ่นทั่วไปแล้ว ซึ่งวัยเท่านี้ส่วนใหญ่กำลังเที่ยวเล่นเลย
   ผมเป็นคนรูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนไม่เก่ง ถ้าผมยังทำตัวเที่ยวเล่น วันนี้ผมก็แย่สิ สิ่งเดียวที่ผมมีคือต้องตั้งใจทำงานให้ดีกว่าคนอื่น…ตอนผมอายุ 17 ปี ผมรู้สึกว่าสู้เพื่อนไม่ได้ แพ้เพื่อนเด็ดขาดเลย ผมบอกเพื่อนว่า ผมไม่เรียนแล้ว ผมจะออกไปทำธุรกิจ อีก 10 ปีข้างหน้า ผมจะมาพบเพื่อน ๆ ใหม่ 10 ปียังไม่สาย เหมือนหนังจีนไหม ดูหนังมากไปหน่อย (ยิ้ม) แต่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พออีก 10 ปี ผมกลับไปหาเพื่อน ๆ ที่สนิทกัน เพื่อนที่ผมรู้สึกว่าตอนนั้นเราสู้เขาไม่ได้ เราเป็นบ๊วยอยู่คนเดียวกลับไปก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่นะ (หัวเราะ) บางคนเขามีธุรกิจใหญ่กว่าผม แต่ว่าผมดีกว่าเดิมเยอะ วันที่ผมกลับไป ผมไม่ใช่ที่หนึ่งแต่ผมไม่ได้บ๊วยแล้ว ผมมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่อย่างน้อยถ้าวันนั้นผมไม่สู้ 
ผมไม่มีวันนี้
การที่ต้องทำมากกว่า คนอื่น ทำให้คุณตันผ่านการทำงานมาหลายอย่าง
   การที่ไม่มีความรู้ทำให้ผม ต้องทำทุกอย่าง ช่วงแรก ๆ ผมใช้แรงงานเป็นหลัก เป็นพนักงานแบกของ ส่งของ ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินอย่างเดียว ทำเพราะถือว่าทำมากได้ประสบการณ์มาก


        ผม เริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดือน 700 บาท ทำงานส่งของ แบกของมาเรื่อย ๆ จนมีโอกาสได้เป็นพนักงานขาย…พอผมออกจากการเป็นพนักงาน ธุรกิจแรกที่ผมเริ่มเอง คือแผงขายหนังสือพิมพ์ ช่วงแรก ๆ เหนื่อย เพราะเราแลกด้วยเหงื่อ เราไม่มีทุน พอออกมาเปิดแผงขายหนังสือ ผมนำเงินไปซื้อหนังสือรอบแรก หมดตัวตั้งแต่ 5 หมื่นแรกเลย เพราะฝนตกหนังสือเปียกน้ำทั้งหมด เจ๊งตั้งแต่วันที่ยังไม่เปิดร้าน แต่ผมไม่ยอมแพ้ เอาใหม่ ผมอยู่ได้ด้วยการทำงานมากกว่าคนอื่น ร้านขายหนังสือซ้ายขวาขายหนังสือน้อยกว่าผมเยอะ เขาขาย 8 ชั่วโมง ผมขาย 18 ชั่วโมง เขาตื่น 7 โมงเช้า แต่ตี 5 ผมตื่นมาขายแล้ว คุณปิด 2 ทุ่ม ผมปิดตี 2 ปิดแค่ 3 ชั่วโมง ลูกค้ามาผมก็ขาย ลูกค้าไม่มาผมเดินไปหาลูกค้า…หนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จผมต้องทำงาน ให้มากกว่าคนอื่น เพราะความสำเร็จไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้าแล้วเราออกไปเก็บได้เพราะ ทำมากกว่าคนอื่น ทำให้เจ้าของธุรกิจได้เร็ว


 ผมเขยิบมาเปิดร้าน กิ๊ฟช็อป ร้านกาแฟ ร้านอาหาร แล้วก็มาทำธุรกิจเรียลเอสเตท…กำลังจะมีเงิน 100-200 ล้านบาท พอรัฐบาลประกาศค่าเงินบาทลอยตัว กลายเป็นผมมีหนี้ร้อยกว่าล้าน ตายตอนปี 2539 แต่ผมพยายามแก้ปัญหา ผมมีทั้งหนี้ธนาคารและหนี้นอกระบบ ค่อย ๆ แก้วิกฤต เจรจาประนอมหนี้ ค่อย ๆ ใช้หนี้ไป ผมเริ่มต้นใหม่ ผมว่าทุก ๆ ช่วงของชีวิตเหมือนฟ้าทดสอบเรา หรือถ้าพูดอีกแบบชีวิตมันมีวิกฤตอยู่ ว่าแต่จะเจอตอนไหน แล้วคุณจะยอมแพ้หรือเปล่า
   ตอนเปิดโออิชิสาขาแรกคุณตันก็ยังทำงานอยู่ เบื้องหลัง
   ตอนเปิดโออิชิวันแรกผมซ่อมก๊อกน้ำอยู่ในห้องน้ำ จะเห็นว่า 2-3 ปีแรกผมไม่เคยออกข่าว เป็นคนที่ดูแลงานเบื้องหลังมากกว่า คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เขาเล่าให้ฟังว่า เจอผมครั้งแรกเห็นผมใส่ขาสั้นเช็ดโต๊ะอยู่ในร้าน ตอนนี้ไม่มี เวลาไปทำแล้ว ถึงไปทำก็ไม่มีประโยชน์เพราะมีคนทำอยู่แล้ว แต่ผมต้องพร้อมที่จะทำได้ เราบอกว่าห้องน้ำเหม็นใช่ไหม เราชี้ให้คนอื่นทำ ถ้าเรายังรู้สึกรังเกียจ เราจะไปเรียกให้คนอื่นทำไม่ได้หรอก ถ้าเรากล้าที่จะล้างห้องน้ำ ไม่มีใครไม่กล้าไม่ทำหรอก สมัยก่อนผมจะทำบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องทำ แต่ผมพร้อมจะทำ ผมทำให้ได้


ทุกวันนี้ยังเสียเหงื่อกับการทำงาน เหมือนเมื่อ 20 ปี ที่แล้วไหมคะ
   ต่างกันครับ สมัยก่อนผมทำเอง มีลูกน้องไม่กี่คนแต่เดี๋ยวนี้เป็นมหาชน มีการบริหารที่เป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน ผมยังต้องทำงานอยู่ แต่ว่าหน้าที่บางอย่างไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวนี้ทำงานเป็นทีมมากขึ้น ทำงานแบบมืออาชีพมากขึ้น…ถ้าเป็นเมื่อก่อนยังเป็นบริษัทเล็ก ๆ ถ้าทำแบบนี้ไม่ดี เพราะไม่คล่องตัวหรือถ้าเป็นบริษัทใหญ่แล้วผมยังทำแบบเดิมที่เคยทำ ก็ไม่ดี เพราะเรารู้คนเดียว และไม่มีแผนงานรองรับ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่ตอนนี้งานจะถูกวางแผนทั้งปี เงินจะเข้าบริษัทเท่าไหร่ แล้วเราจะใช้เท่าไหร่ จะมีกำไรเท่าไหร่ มีตัววัดผลทุก 1 เดือน ทุก 3 เดือน ทำตามแผนงาน ถ้าไม่ทำตามแผนก็แก้
   ตัน ภาสกรนที คนเก่ากับคนปัจจุบัน ณ วันนี้ เปลี่ยน ไปมาก-น้อยแค่ไหนคะ
   ตัวผมยังเหมือนเดิม แต่งานไม่เหมือนเดิม ถามว่าผมอยากเป็นคนเดิมไหม อยากครับ แต่มันเป็นไม่ได้แล้ว ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไหม คนเราจะมีชีวิตเหมือนเดิม ๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ชีวิตผมเปลี่ยนครับ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็นทุกอย่าง เพราะบางอย่างผมก็ไม่ได้อยากเป็น ผมไม่อยากเป็นคนดัง สมัยก่อนใส่ขาสั้น เดี๋ยวนี้ใส่ไม่ได้แล้ว ลูกน้องบอกว่าพี่ตันไม่ได้แล้วนะ เสื้อผ้าหยิบตัวไหนมาเถอะ มีแต่ลูกน้องซื้อให้ทั้งนั้น ผมชอบกินอาหารที่ขายริมถนน เดี๋ยวนี้พอไปกิน ลูกน้องก็จะบอกว่า… พี่ตัน อันตรายไปนั่งกินข้างถนนคนเดียว เดี๋ยวโดนเขาอุ้มหรอก หรือผมไปลาว ไปจัดงานอีเวนท์ จะไปเดินงานวัด แต่ลูกน้องไม่ให้ไปเดิน ก็ผมอยากไปน่ะ ผมบอกผมจะไป ปรากฏไปเรียกตำรวจมาเฝ้าผมเลยนะซ้ายขวา โอ๊ย…อะไรของมันวะ ในตัวไม่ได้มีอะไร กระเป๋าก็ไม่มี มีนาฬิกาเรือนเดียว คือเป็นคนเดิมไม่ได้ คนรอบข้างไม่อยากให้เป็น เขาคิดมากกัน (ยิ้ม) เพราะเรามีความรับผิดชอบเยอะ


 มี คำแนะนำอย่างไร กับประโยคที่บอกว่า…จุดเริ่มต้นของคุณตัน คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้
     ผมเชื่อว่าคนเรามีโอกาสเหมือนกัน เพียงแต่มันจะมาหาเรา เมื่อไหร่ บางคนโชคดีตั้งแต่ปีแรก บางคนทำงานแป๊บเดียวก็ดี บางคนทำงาน 5 ปียังไม่ดี บางคนขยันและประหยัดมา 10 ปียังไม่เห็นผลเลย แต่มันอาจจะไปเห็นผลปีที่ 11 บางคนทำ 20 ปีจึงจะเห็นผล โอกาสจะมาหาเราเมื่อไหร่ ไม่รู้ แต่ถ้าวันหนึ่งโอกาสมาแล้วเราไม่พร้อม เราก็พลาดโอกาส หรือวันนี้อะไรก็ดี แต่คุณทำตัวเหลวไหล มันก็สายไปแล้ว ทุกคนต้องพร้อม ต้องมีความหวัง ความพยายามต้องใหญ่ ความทุ่มเทต้องเยอะ คิดแล้วต้องลงมือทำ มีคนทำแต่ไม่คิด อันนี้เจ๊งแหง ๆ หรือคิดแล้วไม่ได้ทำ แม้แต่คิดว่าจะประสบความสำเร็จมันยังไม่มีเลย ต้องคิดดีแล้วลงมือทำทันที ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน มีขึ้นมีลง แต่ได้ดีแล้วอย่าลืมตัว เวลาเจอปัญหาอย่าท้อแท้ ผมว่าทุกคนทำได้
  
    ผมเชื่อว่าไม่ว่าฟ้าจะผ่า ฟ้าจะร้อง สักวันหนึ่ง คุณก็ได้ดี เพราะหลาย ๆ ธุรกิจที่มีโอกาส ผมได้มาเพราะตรงนี้ ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดีนะ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เป็นคนชั่ว หลายธุรกิจที่เขาให้โอกาสผม เขาเห็นว่าผมเป็นคนขยัน เป็นคนไม่เที่ยว ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ก็เลยสนับสนุนผม ผมอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ว่าถึงคุณจะขยันมาก คุณจะเก่งมาก คุณจะพยายามมาก ที่สำคัญอย่าลืมเป็นคนดีด้วย เพราะคนดีวันหนึ่งจะมีความหมาย คนเราทุกคนถ้าคุณถึงจุดจุดหนึ่งคุณอยากจะทำอะไรดี ๆ ถามว่าแล้วคุณจะทำให้กับใคร ก็ต้องอยากทำให้กับคนดี ๆ ถามผมว่าผมอยากจะช่วยเหลือใคร ผมก็ต้องอยากช่วยเหลือ คนดี ๆ ใครจะไปอยากช่วยเหลือคนที่มันไม่ดี


" เราย้อนกลับไปเปิดหนังสือ ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน ที่ถือไปให้เจ้าของเรื่องราวได้เซ็นชื่อให้ เหนือลายเซ็นของเขา ข้อความ นั้นเขียนไว้ว่า…ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ "


ราการ THE idol คนสร้างแรงบันดาลใจ



                           


                           







        ข้อมูลอ้างอิง   http://takach.blogspot.com/2012/03/blog-post.html