วันนี้ผมจะพาท่านผู้ชมได้รู้จักนักวิจัยท่านหนึ่ง ซึ่งท่านมีชีวิตในวัยเด็กอย่างยากไร้ขัดสน จนความพยายามและความชอบทำให้ท่านผู้นี้ประสบผลสำเร็จจนได้เป็นนักวิจัยของประเทศ ดอกเตอร์ท่านนี้เป็นคนจังหวัดบุรีรัมย์ อ.ลำปลายมาศ ครับ ท่านเป็นเพื่อนของพ่อผมเอง และผมมีโอกาสได้สนทนากับท่านมาหลายครั้ง โชคดีที่ผมได้คุยกับบุคลากรของประเทศหลายท่าน .... ถ้าอยากรู้ประวัติของดอกเตอร์อมตะท่านนี้....ก็ไปชมประวัติของท่านกันเลยครับ
ดร.บุญเฮียง พรมดอนกลอย
ดร.บุญเฮียง พรมดอนกอย นักวิจัยห้องปฏิบัติการวิจัยวิศวกรรมจุลินทรีย์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
(ไบโอเทค) ได้สร้างผลงานที่เป็นประโยชน์กับสังคมไม่น้อย
เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเขาได้เสนอหนทางปราบ “ยุง” ด้วยเทคนิคตัดต่อพันธุกรรมแบคทีเรียให้ผลิตโปรตีนที่ฆ่ายุงได้อย่างจำเพาะเจาะจง
และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ โดยนำโปรตีนไปให้ลูกน้ำกินซึ่งจะทำให้ตายภายใน 2-3
วัน
วิธีดังกล่าวกำจัดยุงได้ผลดีกว่าไล่ฆ่ายุงที่บินได้แล้วซึ่งควบคุมได้ลำบากกว่าตอนเป็นลูกน้ำ
และเขาก็มีผลงานตีพิมพ์วารสารวิชาการนานาชาติแล้วถึง 12 ผลงาน
ปัจจุบันนอกจากเป็นนักวิจัยของไบโอเทค
เขายังเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษของสถาบันอณูชีววิทยาและพันธุศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล
อีกทั้งเป็นอาจารย์พิเศษวิชาเทคโนโลยีชีวภาพของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าด้วย
และเมื่อเร็วๆ นี้วิทยานิพนธ์เมื่อครั้งศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University)เรื่องอณูชีววิทยาของโปรตีนสารพิษจากแบคทีเรีย
ก็เพิ่งได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
“สตาร์วอร์” ความฝันก้าวแรกสู่เส้นทางนักวิทย์
ด้วยผลงานและหน้าที่อันมากมายแต่ใครจะล่วงรู้ว่า
ดร.บุญเฮียงในวัยเยาว์ได้แรงบันดาลจาก “สตาร์วอร์” อภิมหากาพย์ภาพยนตร์ซึ่งทำให้เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์เขาเล่าว่าในวัยเด็กใฝ่ฝันที่จะได้ท่องอวกาศเหมือนในภาพยนตร์
ซึ่งได้กลายเป็นแรงผลักอันดับแรกให้เขาตั้งเป้าที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์
จนกระทั่งเขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากประสบการณ์ที่เข้ามาจึงทำให้เขากลายเป็นนักวิจัยทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพอย่างที่เป็นอยู่นี้
“ตอนนั้นอยากไปอวกาศแค่นั้นแหละ
เห็นเขาใช้ดาบเลเซอร์ก็อยากใช้บ้าง สมัยเป็นเด็กผมมีดาบเลเซอร์เต็มบ้าน
เห็นเขาขึ้นยานอวกาศไปนั่นไปนี่ได้ก็อยากไปบ้าง
แต่พอขึ้นมัธยมความคิดก็เปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่งเพราะเราเริ่มรู้อะไรมากขึ้น
พอเรียนปริญญาตรีก็รู้อีกระดับความคิดก็เปลี่ยนไป
ถึงปริญญาเอกก็เป็นความรู้อีกระดับ และมาทำงานด้วยสภาวะที่เป็นอยู่ความคิดก็เปลี่ยนไปอีกระดับ”
บวชเรียนเพราะทางบ้านยากจน
แต่ไม่ทิ้งความสนใจวิทย์
ดร.บุญเฮียงเล่าว่าด้วยความจำเป็นที่ทางบ้านยากจนไม่สามารถส่งเสียให้เรียนได้เนื่องจากฐานะค่อนข้างลำบาก
หลังจบชั้นประถมแล้วเขาจึงต้องหยุดเรียน 1 ปีเพื่อช่วยครอบครัวทำนา
ก่อนที่จะบวชเรียนเป็นสามเณรและสอบเทียบวุฒิ ม.3 เขากล่าวว่าช่วงบวชเป็นสามเณรไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์เลยแต่ก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากนักเพราะเขาสนใจที่ศึกษาค้นคว้าเองมากกว่า
และด้วยความที่สนใจทางด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าทางธรรมจึงได้ลาสิกขา แล้วเรียนต่อ
ม.ปลายที่โรงเรียนลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์
"เรียนสามเณรก็ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์เลย
สอบเทียบวุฒิการศึกษานอกโรงเรียนแล้วมาเรียนเอาตอน ม.ปลาย ผมเรียนในห้องผมไม่ค่อยได้อะไร
ผมได้จากการอ่านเองมากกว่า ช่วง ม.4-5-6 ผมอ่านหนังสือจบก่อนครูสอน
ผมเรียนเพราะผมอยากรู้ ผมไม่ได้เรียนเพื่อสอบ ผมไม่สนว่าวันไหนสอบวิชาอะไร
ผมสนแค่ว่าวันนี้ผมอยากรู้เรื่องอะไรผมก็อ่านเรื่องนั้น บางวันจะสอบภาษาอังกฤษ
ผมยังอ่านฟิสิกส์ เคมีอยู่เลย ถ้าเราเรียนตามใจเราจะมีความสุข และจำไปตลอดชีวิต
ในขณะที่เรียนเพื่อสอบ 3 วันก็ลืม”
“อย่างสูตรของนิวตัน F=ma เป็นสูตรที่ผมประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเรารู้หลักการว่าเป็นมาอย่างไร
ฟิสิกส์ ม.4 ไม่ต้องทำอะไรเลย ท่องสูตรเดียวนี้จบ
แต่ข้อเสียของระบบการศึกษาไทยคือสอนตามสูตร ไม่ได้สอนว่ามีความเป็นมาอย่างไร
หลักการอย่างไร สอนแต่ท่องสูตร โจทย์อย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ ผลคือเด็กทำคะแนนได้ดีและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
อันนั้นผมไม่เถียง แต่ว่าใจเขาได้หรือเปล่า
ใจเขารักที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์จริงหรือเปล่า ผมอยากให้คนรุ่นใหม่เรียนด้วยใจชอบ”
แม้ขัดสนแต่ไม่จนหนทางใฝ่รู้
แม้จะทางบ้านจะขัดสนในเรื่องเงินทอง แต่
ดร.บุญเฮียงก็ไม่ได้ขาดความกระตือรือร้นที่จะใฝ่หาความรู้
เขาเล่าว่าเมื่อครั้งเรียนประถมญาติซึ่งทำงานเป็นแม่บ้านของผู้มีอันจะกินในเมืองหลวง
ก็มักจะขนนิตยสารต่างๆ ที่เจ้าของบ้านไม่ต้องการแล้วกลับมาให้เสมอๆ เขาก็อาศัยเก็บรวบรวมความรู้รอบตัวจากตรงนั้น
และจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ก็ตามญาติอีกคนที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งซึ่งมีความเพียรน้อยกว่าเขามาก
ก็ใช้ให้ ดร.บุญเฮียงอ่านตำราเรียนเพื่อญาติคนนั้นจะได้นอนฟัง
เหล่านี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความใฝ่รู้ของนักวิจัยแห่งไบโอเทคคนนี้
แม้ได้ฝันจาก
“สตาร์วอร์” แต่มองเป็นเพียงความเพ้อฝัน
แม้ว่าจะได้แรงบันดาลใจจากสตาร์วอร์สแต่
ดร.บุญเฮียงมองว่าความใฝ่ฝันวัยเด็กกับปัจจุบันที่เป็นอยู่นั้นแตกต่างกันมาก
เขามองว่า “สตาร์วอร์” เป็นเรื่องของความเพ้อฝัน
ในขณะที่ปัจจุบันคือเรื่องของความเป็นจริง
และเขาก็ยังได้แรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัวด้วยซึ่งแต่ละคนก็แตกต่างกัน
พร้อมยกตัวอย่างต้น“ข้าวโพดเหี่ยว” บางคนอาจไม่สนใจ
แต่คงช่างสงสัยก็จะตั้งคำถามว่าเพราะอะไร เป็นเชื้อราหรือไม่
หรือเกิดจากหนอนเจาะราก ซึ่งเวลาสอนเด็กต้องสอนให้รู้จักสังเกตและตั้งคำถาม
สนใจพันธุวิศวกรรมเพราะอยากสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่
ดร.บุญเฮียงเล่าว่าจุดเปลี่ยนความสนใจทางวิทยาศาสตร์จากที่ใฝ่ฝันจะได้ท่องอวกาศเหมือนในภาพยนตร์กลายเป็นความสนใจทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพนั้น
เนื่องจากช่วง
ม.ปลายได้ศึกษาเกี่ยวกับพันธุวิศวกรรมแล้วรู้สึกชอบถึงความมหัศจรรย์ที่เราสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ๆ
ได้ตามความต้องการแต่ก็เป็นเพียงความคิดตอนวัยรุ่นเท่านั้น
หลังจากได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งก็ทราบว่าเราไม่จำเป็นต้องสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่เพียงแต่ใช้พันธุวิศวกรรมเพียงแปลงสิ่งมีชีวิตเพียงเล็กน้อยก็สร้างประโยชน์
ไม่ต้องสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่
แค่เปลี่ยนให้มีประโยชน์ก็พอแล้ว
“ความคิดเกี่ยวกับพันธุวิศวกรรมตอน ม.5-ม.6 ขณะนั้นคือเราอยากสร้างอะไรเราก็สร้างได้
สร้างสิ่งมีชีวิตโดยการเปลี่ยนพันธุกรรมให้ได้สิ่งมีชีวิตตามใจเรา
นั่นคือความคิดขณะนั้น พอเรียนต่อมาเรื่อยๆ
จนถึงปัจจุบันเมื่อเข้าใจอะไรลึกซึ้งความคิดก็เปลี่ยนไป
พันธุวิศวกรรมในความเข้าใจตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่
เพียงแค่เปลี่ยนบางอย่างเพื่อให้เกิดประโยชน์ก็พอแล้ว”
ทุกวันนี้เขายังคงมุ่งมั่นศึกษาศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของโปรตีนสารพิษจากแบคทีเรีย
รวมถึงศึกษากลไกการออก ฤทธิ์ระดับโมเลกุลของโปรตีนฆ่าแมลงจากแบคทีเรีย
เพื่อหาวิธีปราบยุงโดยไม่ใช้สารพิษสังเคราะห์ต่อไป
โดยจะพัฒนาให้ออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้นซึ่งเป็นจุดด้อยของโปรตีนกำจัดยุงเมื่อเปรียบเทียบกับสารเคมีที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด
ดร.บุญเฮียงคือตัวอย่างของบุคลากรที่มีฝันและได้รับการผลักดันจนประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่ามีเด็กอีกหลายคนได้ก่อร่างความฝันและแรงบันดาลใจที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์เมื่อเติบใหญ่เช่นเดียวกับเขา หน้าที่ของผู้ใหญ่ถัดจากนี้ก็คือการผลักดันความฝันด้านบวกของพวกเขาให้กลายเป็นจริงบนทิศทางที่ถูกต้อง
เพื่ออนาคตเราจะได้บุคลากรที่มีทั้งศักยภาพและความสุขในการทำงาน
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติต่อไป
คำคมประจำวันนี้คือ " พรแสวงให้ผลมากกว่าพรสวรรค์ "
รายการ
ดร.ฮีโร่
ข้อมูลอ้างอิง
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9490000017629